วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

พาราเซตามอล ยาสามัญที่ต้องระวัง

  
  

           
        พาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวด และลดไข้ที่คนไทยนิยมใช้กันมากที่สุด เนื่องจากเชื่อว่าปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง
  ภาวะเป็นพิษต่อตับจากยาพาราเซตามอลนั้น เกิดได้ทั้งจากความตั้งใจรับประทานยาเกินขนาดเพื่อทำร้ายตัวเอง ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาดเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และเกิดภาวะตับวาย ซึ่งอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิต หากไปรับการรักษาไม่ทันท่วงที 
                   ส่วนผู้ป่วยกลุ่มที่เกิดภาวะเป็นพิษต่อตับโดยความไม่ตั้งใจนั้น พบได้บ่อยในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบว่า กำลังทำร้ายตัวเองด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่มีผลทำร้ายตับต่อเนื่องเป็นเวลานาน การรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน แม้ว่าจะรับประทานไม่เกินขนาดที่แนะนำ แต่ถ้ารับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานานก็มีโอกาสที่จะเกิดตับอักเสบได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไปรับการรักษาช้า เนื่องจากไม่ตระหนักถึงพิษภัยที่อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นเวลานาน แม้ว่ายาพาราเซตามอลจะเป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่มีประโยชน์ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ จึงต้องระมัดระวังในการใช้ยา และหากอาการไม่ดีขึ้นหลังรับประทานยา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุเสมอ
                   


       นอกจากนี้ไม่ควรดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ขณะที่รับประทานยาพาราเซตามอล ส่วนผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรัง ตับแข็ง หรือดื่มสุราเป็นประจำจะมีความเสี่ยงในการเกิดพิษต่อตับง่ายกว่าคนปกติ จึงควรงดเว้นการรับประทานพาราเซตามอล หรือหากจำเป็นจริง ๆ ก็ควรรับประทานให้น้อยที่สุด
                  


                ข้อควรระวังอีกอย่างคือ มียาสูตรผสมเป็นจำนวนมากที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น ยาแก้ไข้หวัด ยาแก้ปวดเมื่อย ยาคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งยาสูตรผสมเหล่านี้ หากนำมารับประทานร่วมกันโดยไม่ทราบว่ามีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เช่น รับประทานยาแก้ไข้หวัดพร้อม ๆ กับยาคลายกล้ามเนื้อ จะทำให้ได้รับยาเกินขนาด และเกิดตับอักเสบ หรือตับวายเฉียบพลันได้ ดังนั้น ก่อนรับประทานยาทุกชนิดจึงควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสมอ ถ้าไม่แน่ใจว่ายามีส่วนประกอบของพาราเซตามอลหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนบริโภคยาทุกครั้ง

ล้างพิษในหนึ่งวันที่คุณทำเองได้

    




     หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า
              



  1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

  2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด


  3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้


  4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป


  5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป


              
          

             วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

     อุปกรณ์


   1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด


   2. มะนาว 4 ลูก


   3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน


     วิธีทำ


   1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน


   2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ


   3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่น


 
            
คือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง



ข้อมูลจาก : http://variety.teenee.com/foodforbrain/47092.html

ประวัติ ผู้ก่อตั้ง ประธานบริษัท Samsung


ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ

ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

'ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

'ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

'ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด

จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้

และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด

แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้

ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ



หลายปีผ่านไป

แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น

เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

'แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

'ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้

ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ

ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ

ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน

ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ .......


วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน

ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่'

ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

'มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
...

ฉันถามเขาว่า

'ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

'ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง

และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง

เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน

แล้วพูดว่า

'ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง'

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก

ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

'แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ'

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด 'เจ็บมากไหม'

ฉันถาม

'ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด

แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...'

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา

น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

'เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง

แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี

จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

'พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด

เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล

น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

'พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....

ฉันบอกกับน้องว่า

'แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

'ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...



เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล 'พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

'ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง

ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ'

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

'ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้

น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ

วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ

พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


จบบริบูรณ์....


ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า

'ซัมซุง'

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง







8 สาขาฮิตไม่ตกงาน ตามเทรนด์อาเซียน 2558

      ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ในการประชุมวิชาการทางมานุษยวิทยา ครั้งที่ 10 หัวข้อ ประชาคมในมิติวัฒนธรรม ความขัดแย้งและความหวัง กล่าวว่า ขณะนี้สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ กำลังเตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งเป็นโลกของอาเซียนผสมผสานกับโลกโลกาภิวัตน์ที่มีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา สำหรับการเตรียมตัวด้านประชากรของประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ เด็กและเยาวชนคนหนึ่งจะต้องมีทักษะในวิชาชีพอย่างน้อย 3-4 วิชาชีพ เพราะฉะนั้นเด็กและเยาวชนจะต้องมีความรู้ความสามารถที่หลากหลายสามารถแข่งขันกับตลาดอาชีพในอาเซียนได้


 8 สาขาของประชาคมอาเซียน สามารถทำงานแลกเปลี่ยนกันใน 10 ประเทศ ได้แก่ วิชาชีพ


 หมอ




 พยาบาล




 ทันตแพทย์




 วิศวกร




 สถาปนิก




 การโรงแรม



อาหาร




 ธุรกิจสปา




นักสำรวจสร้างถนน

 



หากนักศึกษาเรียนจบแพทย์ ไม่ใช่จะต้องแข่งขันเพื่อมีอาชีพแค่ 65 ล้านคน แต่ต้องแข่งขันกับประชากรอาเซียน 10 ประเทศ ประมาณ 600 ล้านคน สิ่งที่เราต้องพัฒนาทักษะด้านภาษาให้เด็กไทย โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ อยากให้สื่อสารภาษาอังกฤษสำเนียงคนไทย และเลิกคิดว่าพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง เพราะเราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร หรือเก่งภาษาอื่นถือว่าไม่รักภาษาไทย


  “อัตลักษณ์ของเด็กไทยในประชาคมอาเซียนจะต้องมีทักษะการคิด การวิเคราะห์อย่างเป็นเลิศ และกล้าออกไปทำงานแลกเปลี่ยนนอกประเทศ โดยไม่ทิ้งอัตลักษณ์ของตัวเองที่มีความนอบน้อม ยิ้มสยาม เพราะวัฒนธรรมเหล่านี้ คือ ความหลากหลายที่สวยงาม ครึ่งหนึ่งของประเทศสมาชิกอาเซียนพูดภาษามาเลย์ ครึ่งหนึ่งพูดมลายู เพราะฉะนั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับไทยจะมองภาคใต้ที่พูดภาษามลายูหลายจังหวัด ว่า เป็นพื้นที่ขัดแย้ง หรือจะมองว่าเป็นผู้ผูกโยงเชื่อมโยงถึงอาเซียน ประเทศไทยมีคนพูดภาษามลายู 2-3 ล้านคน สมควรจะให้ยกเลิกพูดกัน เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ 
             


      นอกจากนี้ ไทยควรร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในอาเซียนมากยิ่งขึ้น อีกเรื่อง อยากให้ทุกคนสนใจกฎหมาย หรือสนธิสัญญาของอาเซียน เพื่อใช้อ้างอิงสิทธิ์ในความเป็นประชาคมอาเซียนที่รับรองโดยสหประชาชาติด้วย” ดร.สุรินทร์ กล่าวทิ้งท้าย         

            

นั่นแสดงว่าทันทีที่เปิดเสรีอาเซียนแล้ว ใครที่ทักษะน้อย ความสามารถน้อย อาจจะเสียเปรียบอย่างรุนแรง เพราะจริงๆ แล้วในประเทศไทยก็เป็นที่หมายปองของประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเค้าเก่งกว่า เราก็ต้องเตรียมร้อนๆ หนาวๆ กันได้เลย ถ้าน้องๆ ที่อยากอยู่รอดในยุคอาเซียนก็เล็งๆ วิชาชีพเหล่านี้เอาไว้ให้ดี และอาจจะต้องหาความรู้เพิ่มเติมให้เก่งในหลายๆ ทักษะ... แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว แต่ต้องสู้ค่ะ

ข้อมูลจาก : www.Dek-d.com

ใช้ "สี" เติมพลังให้สมอง เรียนรู้ไว!




   
มีผู้สนใจและศึกษาเรื่องสี และผลของสีสันต่างๆ จนเกิดเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า Color Psychology และปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่ามีห้องเรียน ร้านค้า ตราสินค้า ต่างคำนึกถึงการใช้สี ในการสร้างตึก มีมัณฑนากรที่ออกแบบตกแต่งห้อง วางเฟอร์นิเจอร์ใช้สอยต่างๆ โดยคำนึงถึงสีสันต่างๆ มากขึ้น 
    
    กลุ่มคุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนก็เริ่มทาสีห้องนอนลูกๆ ด้วยสีสันสดใสหลายสี มากกว่าจะมีสีเดียวอย่างขาว ครีม หรือฟ้าเท่านั้นแบบในอดีต ก็เพราะมีผลการวิจัยออกมายืนยันเช่นกันว่า สีห้องนอนของเด็กๆ ควรเป็นสีสันสดใส เพราะลูกตัวน้อยที่นอนในสีสันสดใส จะฉลาดและเรียนรู้เร็วกว่าลูกน้อยที่นอนในห้องนอนทึมๆ เพราะสีสันต่างๆ จะไปกระตุ้นการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์มากกว่านั่นเอง เช่นเดียวกับกรณีสีของห้องเรียนในโรงเรียนอนุบาลค่ะ 
 แต่ก็ใช่ว่าสีจะมีผลต่อเด็กเล็กๆ เท่านั้นนะคะ จริงๆ สี มีผลต่อมนุษย์ทุกคนเลย ยิ่งถ้าคุณครูยอมให้พวกเราเหล่านักเรียนทำการบ้านหรือจดเนื้อหาลงสมุดที่ ต้องส่งครูประจำด้วยปากกาสีต่างๆ ได้ก็จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้น้องๆ หลายคนอยากทำงานมากขึ้นด้วย การจัดห้อง หรือปรับโต๊ะทำการบ้านหรืออุปกรณ์การเรียนให้มีสีสันต่างๆ เหล่านี้ เพื่อช่วงเพิ่มความสามารถในการจดจำ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และผ่อนคลายในยามเหนื่อยล้าจ้า และสีอะไรบ่งบอกหรือช่วยเราในเรื่องอะไรบ้างนั้น ตามมาดู(อ่าน)กันเลย 
สีแดง แสดงความรู้สึกร้อนแรง แทนอารมณ์ได้ทั้งความโกรธและความรัก สำหรับสีนี้ นำมาทาเป็นสีห้องนอนเห็นจะไม่ได้ เพราะแทนที่จะได้นอน ก็จะรู้สึกตื้นเต้นตลอดเวลา เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าสีนี้กระตุ้นให้หัวใจสูบฉีดเลือดแรงขึ้น ชีพจรจะเต้นเร็ว ดีไม่ดีจะเก็บไปฝันว่านอนท่ามกลางกองเพลิงเสียอีก แต่เราสามารถหาสิ่งของสีแดง มาวางไว้บนโต๊ะทำงาน เพราะสีแดงช่วยเพิ่มสมาธิและความจำได้อย่าง ไม่น่าเชื่อ เจ๋งมากๆ แต่ก็อย่านำของสีแดงมาใกล้กับสีเขียวและม่วง เพราะสีขัดแย้งกันมากยิ่งมองแล้วปวดลูกตา พี่เกียรติว่าเรื่องที่สีแดงกระตุ้นให้ใจเต้นเร็วเห็นท่าจะจริง เพราะแต่ก่อนที่พี่เกียรติใจเต้นตึกตักทุกครั้งที่ส่งงานครู คุณครูจะกากบาทสีแดงมาเต็มหน้ากระดาษทุกครั้ง 
 สีเหลือง แสดง ถึงความร่าเริงสดใส แต่อยู่สีเดียวไม่ได้ ต้องประกอบกับสีอื่นๆ ที่เข้มกว่า ดังนั้นจึงมักใช้ในสื่อสิ่งพิมพ์ ทำเป็นตัวอักษรบนหน้ากระดาษหรือพื้นเว็บไซต์ สีของเว็บไซต์ Dek-D.com ก็ใช้สีเฉดนี้ แสดงถึงความร่าเริงสดใสเหมือน กันกับสีส้มที่ช่วงลดความรู้สึกหดหู่ได้ เป็นสีที่แสดงถึงความกระฉับกระเฉง ว่ากันว่าเป็นสีที่ใช้เรียกความน่าสนใจได้ ที่สำคัญกระตุ้นความอยากอาหารด้วย


 สีน้ำตาล แสดง ถึงเก่าแก่ โบราณ แต่ก็อบอุ่น สื่อถึงความมั่นคงของครอบครัวได้ แต่ถ้าใช้ไม่ดีก็จะนำพาความน่าเบื่อมาเลยทีเดียว สีเฉดนี้เห็นบ่อยในสไตล์การแต่งตัวแบบแนวๆ  น้องๆ คงสังเกตได้ว่าคนแนวๆ ทั้งหลาย แม้จะไม่ขาวสดใส แต่ก็จะเก๋ไก๋ใช่เล่น ถ้าเปลี่ยนมาจดงานด้วยปากกาสีน้ำตาลบ้าง นอกจากจะไม่จำเจแล้ว งานก็น่าสนใจมากขึ้นด้วย ลองดูสิ!
สีเขียว แสดง ถึงการเจริญเติบโต การเงิน และสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย หากโกรธหรือโมโหให้มองหาต้นไม้หรือสีเขียว เพราะจะช่วยให้หายใจได้ลึกขึ้นและช้าลง เหมือนว่ากำลังจะได้รับพลังอันผ่อนคลายจากธรรมชาติ แต่บางครั้งหากนำมาเปรียบกับคนก็อาจหมายถึงสุขภาพไม่ดีเหมือนกัน อย่างหน้าเขียว และในนิยายหลายเรื่อง เราก็จะเห็นว่าสีเขียวเป็นสีของตัวร้ายเสียด้วย น้องๆ ลองหาต้นไม้เล็กๆ หรือภาพต้นไม้สีเขียว มาวางไว้ที่โต๊ะเพื่อช่วยผ่อนคลายเวลาทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์นานๆ นะคะ พักสายตา และพักสมอง ให้โอกาสสมองได้จัดเรียงข้อมูลบ้าง ก็จะทำให้ค้นหาหรือใช้ข้อมูลในสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือาจหาโคมไฟสีเขียวอ่อนๆ มาใช้ขณะอ่านหนังสือก็ได้ นอกจากผ่อนคลายแล้วยังเพิ่มสมาธิด้วย
  
สีน้ำเงิน ถ้าสีแดงทำให้เลือดสูบฉีดเร็ว ก็มีสีน้ำเงินนี่แหละที่ทำให้เลือดสูบฉีดช้าลง เยือกเย็น สงบ และซื่อสัตย์ แสดงถึงความทันสมัยของเทคโนโลยี จึงมีหลายๆ เว็บไซต์นำไปเป็นพื้นหลังของเว็บ ในขณะเดียวกันก็ดูอนุรักษ์นิยมด้วย แต่ไม่ควรใช้ร่วมกับสีเหลืองหรือส้มนะจ๊ะ สีจะฉูดฉาดเกินไปทำร้ายสายตาอย่างไม่น่าเชื่อ
  
 สีฟ้า ว่า กันว่าสีนี้ควรใส่ไปสัมภาษณ์งาน เพราะช่วยให้บรรยากาศสงบ และดูน่าเชื่อถือ แบบนี้น้องๆ โรงเรียนไหนใส่ชุดพละสีฟ้า ไปอ้อนวอนขอคะแนนพิเศษจากคุณครู ครูจะต้องใจอ่อนแน่ๆ เลย อิอิ สีเฉดนี้ช่วยลดความรู้สึกวุ่นวาย หากตอนไหน ไม่สบายใจ คิดถึงบ้าน ฯลฯ ลองมองท้องฟ้าสดใส (ไม่เอาฟ้าครึ้ม แบบฝนจะตกนะ) จะทำให้ใจปลอดโปร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญสีฟ้ากระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หากทำงานศิลปะหรืองานที่ต้องใช้ความคิดต่างๆ ลองหาสีฟ้าวางใกล้ดูจ้า
สีขาว แสดง ถึงความบริสุทธิ์ ดังที่เราเปรียบเด็กๆ ว่าเป็นผ้าขาว เป็นสีที่นิยมใช้ เพราะเข้าได้กับทุกๆ สี แต่ใช่ว่าจะมีแต่ความหมายดีนะคะ เพราะสีขาวเอง กลับทำให้ดูอ่อนแอ เหนื่อยล้าก็ได้ ดังนั้น ถ้าเหนื่อยๆ ก็อย่ามองหาความสงบด้วยสีขาว จะยิ่งตอกย้ำให้เหนื่อยล้านะจ๊ะ

สีเทา สี กลางที่ดูน่าเบื่อหน่าย ซ้ำซาก ไม่ควรใช้สีเทาเดี่ยวๆ ในสิ่งของ เสื้อผ้า ห้อง ฯลฯ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ขาดชีวิตชีวา แต่สีเทากับเข้าได้ดีกับสีเฉดน้ำเงิน หรือม่วง ซึ่งจะขับให้ดูสง่างามมากยิ่งขึ้น
 สีดำ ก็ตรงข้ามกับสีขาว ที่มีหมายความรุนแรง แต่ก็มีมุมดีๆ หากรู้จักเลือกใช้ สีดำโดดๆ จะให้ความรู้สึกการหยุดชะงัก หากนำมาไว้ข้างตัว จะทำให้รู้สึกอัดอัด คิดอะไรไม่ออกได้ แต่หากนำมาประกอบรวมกับสีขาวหรือสีสดใสดอื่นๆ จะทำให้รู้สึกฉลาดเฉลียว ดูซับซ้อน ลึกลับ น่าค้นหามากขึ้น
ข้อมูลจาก :  http://www.dek-d.com/content/education